เมื่อมนุษย์ก้าวเข้าสู่ความเป็นอารธรรม
ในบทความที่แล้ว (วิวัฒนาการของมุษย์ "จากมนุษย์อดีตสู่ปัจจุบัน") เราได้พูดถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ โดยกล่าวถึงบรรพบุรุษของมนุษย์ 4 สายพันธ์หลักที่มีวิวัฒนาการและการปรับตัวเพื่อให้มีชีวิตรอดในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปของธรรมชาติ ซึ่งทำให้เห็นถึงการพัฒนาระบบความคิดและมันสมองให้มีความฉลาดหลักแหลมมากขึ้น และในบทความนี้เราจะพูดถึงวิวัฒนาการของมนุษย์กันต่อ โดยจะเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์จนเข้าไปสู่ความเป็นอารธรรม (Civilization)
มนุษย์ในยุคแรกๆนั้นล้วนพึ่งพาธรรมชาติและต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ใช้ชีวิตแบบเร่ร่อนล่าสัตว์หาอาหารไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีการพัฒนารู้จักการผลิตอาหารและตั้งหลักแหล่งที่อยู่ถาวรบริเวณลุ่มแม่น้ำ ทำให้วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ พฤติกรรม และกิจกรรมของมนุษย์ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในทุกๆ ด้าน เมื่อมนุษย์ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการอยู่เพื่อเอาชีวิตรอดกลายมาเป็นอยู่เพื่อมีชีวิตรอด จึงทำให้มีความพยายามหาวิธีที่จะทำให้ตนเองอยู่ดีกินดี มีความปลอดภัยมากขึ้น ความพยายามของมนุษย์ในการที่จะเอาชนะธรรมชาติทำให้มนุษย์สร้างสรรค์ความเจริญด้านต่างๆ ก่อให้เกิดชุมชนมีขนาดใหญ่ขึ้น กลายมาเป็นหมู่บ้าน เมือง รัฐ และเกิดอารธรรมที่ก้าวหน้าเรื่อยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เมื่อธรรมชาติเกิดความเปลี่ยนแปลงจึงถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มนุษย์เกิดการปรับตัวและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เข้ากับธรรมชาติมากขึ้น เมื่อเข้าสู่ยุคหินใหม่มนุษย้านถิ่นฐานลงมาบริเวณราบลุ่มแม่น้ำเริ่มตั้งที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง เรียนรู้การทำเกษตรกรรมอย่างเป็นระบบ มีการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์เพื่อดำรงชีวิต และมีการอยู่อาศัยเป็นชุมชนที่ซับซ้อนมากขึ้น ในยุคหินใหม่นี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีให้สูงขึ้น มีการทำเครื่องมือหินอย่างประณีตโดยมีการขัดฝนหินทั้งชิ้นให้เป็นรูปร่างลักษณะต่างๆ เพื่อให้เครื่องมือมีประสิทธิภาพในการใช้สอยมากขึ้น เช่น มีดหินที่สามารถตัดเฉือนได้แบบมีดโลหะ มีการต่อด้ามยาวเพื่อใช้แผ่นหินลับคมเป็นเสียมขุดดิน สามารถปั้นหม้อดินและใช้ไฟเผา สามารถทอผ้าจากเส้นใยพืชและทอเป็นเชือกทำเป็นแหหรืออวนจับปลา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น